Subscribe

RSS Feed (xml)

Powered By

Powered by Blogger

How To Use Obagi Nu Derm


The Obagi Nu Derm system consists of skin care products that solve a range of skin problems, such as age spots, deep wrinkles, acne scars and sun-damaged skin. There are six main products in the Obagi Nu Derm System: a cleanser, toner, cream fading, peeling, stimulator cells and block the Sun system was developed by Dr. E. Zein Obagi, a board-certified dermatologist and experts of the skin. Various Obagi skin care products come in the form of a cream, a gel and a serum. The system is available through dermatologists, plastic surgeons and medical spas, and you can also purchase the Obagi system online for about $ 300.

Instructions


1. Find a plastic surgeon or dermatologist familiar with Obagi Nu Derm. We will assess your skin condition and monitor the use of Obagi products. Your expert will design a skin-care routine in terms of dosage and frequency to your skin problems and needs. While many choose to use the Obagi product without the supervision of a doctor, to get the best results with the fewest side effects, consult a doctor.

2. Educate yourself about the various products Obagi Nu Derm System. It comes in two formulas, one for normal / oily skin and the second for normal skin / dry. Besides the six main products, there are some other Obagi products, such as topical vitamin C, which protects the skin from free radicals. There is also an eye cream, moisturizer and a hydrocortisone cream to eliminate the itching and irritation.

3. Prepare the skin. Cleanse your face to remove impurities and oil and then tone it to get the skin ready for the next step.

4. Exfoliate the skin to remove all dead skin cells and make skin smoother. Obagi fading cream is also used to reduce age spots and uneven skin tone. While the Obagi Vitamin C topical cream is optional, the use if recommended by your doctor.

5. Stimulating the skin. This process is accomplished with the product Obagi Nu Derm Blender and tretinoin. They penetrate deep into skin layers to stimulate collagen production and elasticity at the cellular level. This makes your face softer and more elastic.

6. Protect your skin. Use the Obagi sunscreen to protect skin from UVA and UVB rays that cause skin damage.

7. Keep the routine. To continuously renew skin, follow doctor's advice. If you use the products yourself, follow the instructions and visit the Obagi website if you have any questions.

8. Be patient. It took years or decades of sun damage, pollution, poor diet and aging of the skin. Even with products for the skin during the night, the Obagi improvements are not possible, but you will see visible signs of improvement in four to six weeks with proper use of the Obagi products.

Resources :

Obagi Nu Derm
Obagi Nu Derm Blender
Obagi Nu Derm Clear
Obagi Nu Derm Kit
Obagi Nu Derm System
Obagi Nu Derm 3

ดื่มน้ำชาช่วยป้องกันมะเร็งรังไข่


น้ำชา ถือว่าเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตของสาวๆ ไปแล้วใช่ไหม๊ล่ะคะตอนนี้ แต่ส่วนใหญ่จะทราบเพียงแค่ว่าการดื่มชาเขียวจะทำให้แก่ช้าลง จะทำให้สวยขึ้น จากที่เราจะรู้กันว่าชาเขียวจะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เพื่อชะลอการแก่ก่อนวัย แต่จริงๆ แล้วชายังมีประโยชน์อีกมากมายสำหรับผู้หญิงอย่างเรา

อย่างที่มีบอก ไว้ว่าสตรีควรจะดื่มชาไม่ว่าจะเป็นชาเขียวหรือว่าชาดำเป็นประจำทุกวัน วันละ 1–2 ถ้วย ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดอัตราเสี่ยงการเป็นมะเร็งของรังไข่ลงได้ ประมาณ 50 % หรือว่ามากกว่านั้น

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งวอชิงตัน ของสหรัฐอเมริกา สังเกตพบจากการศึกษากับผู้หญิงทั้งหมด 2,000 คน ว่าสามารถห่างไกลจากโรคมะเร็งรังไข่ได้ตั้งร้อยละ 54 เพียงแค่ดื่มชาเขียวประจำวันละ 1-2 ถ้วย

ในขณะที่สถาบันการแพทย์สิ่ง แวดล้อมแห่งชาติ ที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ก็ได้ทำการศึกษาแล้วพบว่า สตรีที่ดื่มชาดำอย่างต่ำวันละ 2 ถ้วย จะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งรังไข่ ลงไปได้เกือบร้อยละ 50

ผล จากการศึกษาของทั้งสองสถาบันนี้ ได้ยืนยันสรรพคุณของชาเขียวและชาดำในการป้องกันโรคมะเร็ง นอกเหนือจากที่เคยที่เคยทำการวิจัยแล้วพบว่า ช่วยบำรุงหัวใจ สมองและลดปริมาณไขมันเลวในเลือดลงได้

สำหรับสาวๆ ที่ไม่ชอบดื่มน้ำชา หลังจากได้อ่านบทความนี้แล้วคงต้องเปลี่ยนใจหันกลับมาดื่มชากันแล้วใช่ไหมล่ะคะ

เลือกกินช็อกโกแลตยังไง...ถึงจะไม่เสียใจทีหลัง


สำหรับสาวๆ ทั้งหลายที่ชื่นชอบการกินช็อกโกแลต แต่พอกินเสร็จแล้วจะรู้สึกผิดทุกครั้งเลย กังวลว่าตัวเองจะอ้วนขึ้นอีกเท่าไหร่กับการกินช็อกโกแลตแต่ละครั้ง ต่อไปนี้ไม่ต้องเป็นกังวลอีกแล้ว เพราะวันนี้เรามีทิปเกี่ยวกับการกินช็อกโกแลตมาฝาก

มีการวิจัยเกี่ยวกับช็อกโกแลต ได้ทำการทดสอบกับอาสาสมัครที่มีสุขภาพแข็งแรงดีทั้งหมด 15 คน โดยเป็นผู้ชาย 7 คน ผู้หญิง 8 คน และแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก กิน dark chocolate วันละ 100 กรัม กลุ่มที่สองกิน white chocolate 90 กรัม ทุกวันโดยทดลองกินเป็นเวลา 15 วัน

ผลที่ได้คือกลุ่มที่กิน dark chocolate ทุกคนมีความดันโลหิตลดลง และมีความไวต่ออินซูลินซึ่งเป็นตัวสำคัญในการเผาผลาญน้ำตาลมากขึ้น ส่วนกลุ่มที่กิน white chocolate ความดันโลหิตไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เหตุที่มีผลออกมาอย่างนี้ก็เนื่องจากว่า dark chocolate มีระดับฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระมาก ซึ่งเป็นสารเสริมสร้างสุขภาพของหัวใจ ช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น และยังช่วยลดอาการอุดตันของหลอดเลือดอีกด้วย ส่วน white chocolate ถูกตั้งข้อสันนิษฐานว่า นมอาจเป็นตัวที่ไปขัดขวางการดูดซับฟลาโวนอยด์ สรุปจากผลการวิจัยแล้วว่าคนเราควรกิน dark chocolate ในปริมาณเทียบเคียงกับระดับแคลอรี่ที่เราทานในแต่ละวัน โดยที่ dark chocolate 100 กรัมให้พลังงาน 500 แคลอรี่

เห็นไหมล่ะคะว่าการกินช็อกโกแลตไม่ได้ทำให้เราอ้วนขึ้นได้ถ้าเรารู้จักที่จะเลือกกิน มันขึ้นอยู่ที่ว่าเราควรจะทานช็อกโกแลตแบบไหนและในปริมาณเท่าไหร่จึงจะไม่มีผลเสียต่อสุขภาพเรา

แค่ทาลิปติกสีแดงก็ดูดีมีเสน่ห์


สำหรับสาวๆ ที่อยากดูดีมีเสนห์ ต้องกล้าที่จะลุกขึ้นมาแต่งแต้มริมฝีปากตัวเองให้อิ่มสวยด้วยสีแดงสดใส

ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหนริมฝีปากสีสดใส ไม่เคยหายไปจากแฟชั่น โดยเฉพาะสีสด ๆ อย่างเช่น สีแดง ก็เป็นสีที่ผู้หญิงทุกคนควรจะทาสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะมันเป็นสีที่จะทำให้คุณดูโดดเด่นอย่างไม่มีสีไหนมาเทียบได้

อย่ากลัวว่ามันจะดูแรงเกินไป เคล็ดลับง่ายๆ อยู่ที่การเลือกสีแดงที่เหมาะกับสีผิวของคุณ ถ้าเป็นคนผิวคล้ำ หรือมีอันเดอร์โทนสีเหลือง ให้เลือกสีแดงเจือส้มหรือน้ำตาล ถ้าผิวมีอันเดอร์โทนสีชมพูก็เลือกสีแดงที่เจือสีชมพู

และยังมีอีกเทคนิคการทาลิปติกสีแดงอย่างหนึ่งก็คือ ให้ใช้นิ้วมือทาลิปสติกสีแดง เพราะมันจะทำให้สีแดงดูเบาลง และเป็นธรรมชาติมากขึ้นนะคะ แค่เทคนิคง่ายๆ แค่นี้ก็ทำให้คุณกลายเป็นเป็นคนสวยใสมีเสน่ห์แล้วล่ะค่ะ

วิธีรับมือกับหน้าฝน


ช่างน่าเบื่อจริงๆ กับสายฝนที่ตกมาตลอดเวลา จะออกนอกบ้านทีไรเป็นต้องพกร่มอยู่ตลอดเวลา ก็ยังไม่วายจะเปียกชื้น ชวนให้เป็นไข้หวัดอยู่บ่อยๆ และที่สำคัญก็คือเชื้อรา ถือว่าเป็นมหันตภัยร้ายเลยทีเดียวในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ถ้าไม่อยากให้เชื้อราซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งโรคร้ายเข้ามากล้ำกรายละก็ ต้องปฎิบัติตัวขณะออกไปนอกบ้านในตอนที่ฝนตกพรำๆ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้


1. หลีกเลี่ยงการเดินลุยในน้ำขัง เวลาเดินออกไปข้างนอกต้องหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำที่ขังตามถนนหนทาง เพราะเราไม่ทราบว่าในน้ำมีของมีคนอยู่หรือเปล่า ดีไม่ดีเราอาจจะเดินไปเตะโดนกับของมีคมเข้า จะทำให้เท้าเรามีแผลและเชื้อราอาจจะเข้าสู่ร่างกายเราได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีแผลที่เท้าอยู่แล้วควรหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำอย่างเด็ดขาด


2. รีบทำความสะอาดทันที เมื่อผ่านการลุยน้ำมาสิ่งแรกที่ควรจะทำก่อนที่จะเกิดอาการน้ำกัดเท้าได้ก็คือ รีบล้างเท้าทำความสะอาดก่อนทันที โดยฟอกสบู่ให้ทั่วบริเวณที่โดนน้ำ โดยเฉพาะซอกเล็บ ซอกนิ้วเท้า ควรทำความสะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง และหาโลชั่นบำรุงมาทาไว้ ยกเว้นบริเวณซอกนิ้วแค่เช็ดให้แห้งก็พอไม่ต้องทาโลชั่นเพราะอาจจะทำให้ชื้นมากขึ้น

3. ควรอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อกลับถึงบ้านแล้วต้องรีบอาบน้ำ ชำระร่างกายเพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมมของเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มากับน้ำ

4. ควรสระผมให้สะอาด นอกจากเราจะอาบน้ำให้ร่างกายเราสะอาดแล้ว ผมก็เป็นที่หมักหมมของเชื้อโรคได้เหมือนกันถ้าหากเกิดการเปียกชื้นแล้วไม่ได้รับการทำความสะอาด ฉะนั้นเราควรสระผมให้สะอาดด้วย และควรเป่าผมให้แห้ง ถ้าขืนเรานอนหลับขณะที่ผมยังเปียกชื้นอยู่รับรองว่าเราได้เป็นเชื้อราบนหนังศีรษะแน่นอน

5. หากเราไม่สามารถที่จะอาบน้ำทันทีได้ในขณะนั้น แต่ควรที่จะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเก่าออก เช็ดตัวและผมให้แห้งแล้วเปลี่ยนชุดใหม่ทันทีเลย

6. รีบซักเสื้อผ้าที่เปียกชื้นทันที เสื้อผ้าที่เปียกชื้นจากน้ำฝนควรรีบทำการซักทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะจะหมักหมมก่อให้เกิดเชื้อราบนเสื้อผ้าได้ ถ้าไม่สะดวกที่จะซักในทันทีก็ให้ใส่ไม้แขวนแล้วแขวนผึ่งในที่ที่มีอากาศถ่ายเท

7. เตรียมพร้อมอยู่เสมอ เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนแล้วถึงแม้ว่าวันนี้ฝนจะตกหรือไม่ตกก็ตาม ก่อนออกจากบ้านควรพกร่มหรือว่าเสื้อกันฝนอยู่เสมอ และดูแลตัวเองให้อับชื้นน้อยที่สุด ที่สำคัญถ้าสามารถเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ติดไว้ที่โต๊ะทำงานซักชุดนึงก็ไม่เลวเหมือนกัน

เลือกชุดว่ายน้ำให้เหมาะกับตัวเอง


ซัมเมอร์นี้คิดหรือยังคะว่าจะลาพักร้อนไปเที่ยวที่ไหนดี ขอแนะนำว่าเมืองไทยมีทะเลสวยๆ น่าเที่ยวเยอะแยะ ลองเลือกหาซักที่หนึ่งแล้วไปพักผ่อนชาร์ตแบตกันก่อนหลังจากที่เหนื่อยล้ามากับการทำงานทั้งปี แต่ก่อนจะไปอย่าลืมหาชุดว่ายน้ำสวยๆ ติดกระเป๋าไปด้วยนะคะ ไปทะเลแล้วไม่ได้ไปว่ายน้ำทะเล ก็เท่ากับไปไม่ถึงทะเล วันนี้เราเลยมีเคล็ดลับการเลือกชุดว่ายน้ำ (Swimwear) ที่เหมาะกับรูปร่างของตัวเราเองมาฝาก แต่สำหรับสาวๆ ที่ไม่มีเวลาจะไปเที่ยวทะเลก็สามารถเลือกชุดว่ายน้ำไว้ใส่สวยๆ ว่ายน้ำตามสระว่ายน้ำใกล้บ้านก็ได้นะคะ แต่ก่อนอื่นคุณลองเดินไปที่หน้ากระจกก่อน แล้วสำรวจรูปร่างของตัวเองว่าคุณมีรูปร่างแบบไหน จากนั้นถึงจะได้ไปเลือกชุดว่ายน้ำสวยๆ กันค่ะ

1. สาวไหล่กว้าง ให้เลือกชุดว่ายน้ำมีลักษณะคอกว้างคว้านลึกหรือเป็นแบบคอวีก็ได้ แล้วให้เลือกแบบลายทาง ลายทะแยง หรือลายซิกแซก ชุดที่มีลายเหล่านี้จะทำให้ช่วงตัวดูยาวขึ้น ส่วนสายของชุดว่ายน้ำก็ควรเลือกแบบที่เป็นแถบที่มีความหนาหน่อย ไม่ควรเลือกแบบสายเดี่ยว ไหล่ของคุณจะดูบางขึ้น

2. สาวหน้าอกใหญ่ ให้เลือกชุดว่ายน้ำที่ใช้เส้นใยไลคราและมีโครงรองรับทรวงอก หรือเป็นแบบที่มีสายคล้องคอเพราะจะช่วยพรางหน้าอกของคุณให้เล็กลง เลือกแบบที่มีเสริมระบายต่อใต้อกด้วยก็ได้เพื่อช่วยเบนความสนใจไปที่ส่วนอื่น เลือกชุดว่ายน้ำแบบคอเหลี่ยมหรือสายไขว้หรือไม่ก็เลือกชุดท่อนบนเป็นสีเข้ม ส่วนท่อนล่างสีสว่าง ไม่ควรเลือกชุดที่มีเข็มขัด เพราะอาจจะทำให้คุณดูตันขึ้น

3. สาวหน้าอกเล็ก ยิ่งคุณมีหุ่นที่บอบบางด้วยแล้ว คุณสามารถเลือกใส่บิกินี่แบบผูกเชือกได้เลย ชุดแบบนี้จะทำให้คุณดูเป็นคนน่ารักยิ่งขึ้น แต่ถ้าอยากเพิ่มขนาดของอก ก็เลือกแบบที่ท่อนบนเป็นแบบบราบุด้วยฟองน้ำบางๆ แต่อย่าเสริมมากเสียเกินไปจะให้ดูเหมือนใส่ของปลอม หรือไม่เลือกแบบติดระบายเล็กๆที่ช่วงอก เพื่อที่จะทำให้ดูมีหน้าอกใหญ่ขึ้น

4. สาวที่มีหน้าท้อง ควรเลือกชุดว่ายน้ำแบบคอวีที่มีเส้นใยไลครา จะช่วยกระชับรับกับรูปร่างดี เลือกชุดที่เป็นลายทาง หรือชุดลายซิกแซก เพื่อเพิ่มรายละเอียดที่ท่อนบนเสียหน่อย ถ้าเป็นชุดแบบวันพีชก็อาจเลือกแบบที่ท่อนบนเป็นสีอ่อนแล้วไล่ความเข้มลงไปตรงท่อนล่าง หรือเลือกชุดแบบที่มีลายทั้งตัว จะช่วยพรางสายตาได้ดี

5. สาวช่วงตัวสั้นเกินไป ควรเลือกใส่ชุดว่ายน้ำแบบทูพีช โดยเลือกแบบชิ้นบนเป็นเหมือนเสื้อสายเดี่ยว เพราะรอยต่อที่พอเหมาะระหว่างเสื้อกับกางเกงจะช่วยให้รูปร่างดูได้สัดส่วนขึ้น และควรหลีกเลี่ยงกางเกงบิกินี่เอวสูงเพราะจะยิ่งเน้นให้เห็นว่าคุณตัวสั้น

6. สาวช่วงตัวยาวเกินไป ให้หลีกเลี่ยงชุดที่ท่อนล่างเป็นแบบบอยเลก (boy – leg brief) ซึ่งช่วงขายาวเสมอกัน โดยไม่มีส่วนเว้าเพราะจะยิ่งทำให้ตัวคุณดูยาวขึ้นอีก ควรเลือกใส่กางเกงที่มีลักษณะเว้าตรงส่วนขาลึกๆ จะช่วยลดความยาวของลำตัวลงไปได้บ้าง

7. สาวสะโพกใหญ่ รูปร่างจะดูเหมือนลูกแพร โดยท่อนบนเล็ก ท่อนล่างใหญ่ ชุดว่ายน้ำที่เหมาะสมควรเป็นแบบที่เน้นสีสันและรายละเอียดบริเวณอกให้มากหน่อย ท่อนล่างเป็นสีโทนเข้ม ชุดคอวี ลายทาง หรือชุดแบบเกาะอกก็ช่วยทำให้ท่อนบนกับท่อนล่างได้สมดุลดี แต่ถ้าอยากใส่แบบสองชิ้น ก็ควรเลือกกางเกงเอวสูงและขาเว้า คุณจะดูเพรียวยาวขึ้นมาเลยทีเดียว

8. สาวหุ่นนาฬิกาทราย ให้เลือกชุดแบบที่มีสายคล้องคอ และควรจะมีแถบสีเข้มที่ด้านข้าง จะได้ช่วยเน้นรูปร่าง ให้ดูดียิ่งขึ้น ไม่ควรเลือกทูพีชหรือว่าชุดที่ใส่แล้วไม่กระชับทั้งท่อนบนและล่างโดยเด็ดขาด

มาแต่งตัวให้ผอมเพรียวกันเถอะ

เคยสังเกตตัวเราเองมั๊ยคะ ว่าเราก็ไม่ใช่คนอ้วนแต่เวลาแต่งตัวออกจากบ้านทีไร บางวันก็มีคนทักว่าอ้วนขึ้นหรือเปล่า บางวันก็ชมว่าเราผอมหุ่นดี ซึ่งจริงๆ แล้วเราชั่งน้ำหนักทุกวันมันก็เท่าเดิมจะขึ้นลงก็ไม่เกินครึ่งกิโล แต่ทำไมหุ่นเราแต่ละวันถึงไม่เหมือนกัน เราก็พยายามค้นหาคำตอบ จนได้คำตอบมาว่าเป็นเพราะการแต่งกายแต่ละวันที่แตกต่างของเราส่งผลต่อรูปร่างของเราด้วยและได้มีปัจจัยหลายอย่างที่สามารถเอามาเป็นเคล็ดลับในการแต่งตัวแบบคร่าวๆ มาฝากคุณสาวๆ ที่อยากแต่งตัวให้หุ่นผอมเพรียว

1. เสื้อผ้าสีเข้ม โดยให้เลือกใส่ เสื้อผ้าที่มีสีเข้ม เข้าไว้ เพราะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าการใส่ชุดสีดำนั้นจะช่วยพรางรูปร่างได้เป็นอย่างดี แต่ก่อนที่เราจะสรรหาชุดสีเข้มมาใส่ไว้เต็มตู้ ก็ขอให้สำรวจนิดนึง ว่าซีซั่นนี้เทรนเสื้อผ้าสีเข้มสีใดที่มาแรง หรือว่าให้เลือกเอาแบบกลางๆ ซึ่งสามารถจะใส่ได้ตลอดไม่ใช่ใส่ครั้งสองครั้งแล้วก็เก็บไว้ไม่ได้ใส่อีก

2. เข็มขัดเส้นโต เชื่อหรือไม่ว่าการคาดเข็มขัดเส้นโต ก็จะสามารถช่วยให้คุณดูผอมเพรียวได้ เพียงแค่คุณเปลี่ยนจากการที่เคยใช้เข็มขัดเส้นเล็กๆ มาเป็นคาดเข็มขัดเส้นโต ก็จะทำร่างของคุณให้มีมิติขึ้น แค่ขนาดต่างกัน มันก็ทำให้เรือนร่างของคุณเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้เช่นกัน


3. รองเท้าส้นสูง เพราะรองเท้าประเภทนี้จะมีส่วนช่วยอย่างมากที่จะช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพของเรา อีกทั้งรองเท้าส้นสูงยังสามารถเลือกมาใส่ได้กับเสื้อผ้าทุกชุดอีกด้วย และข้อดีของการใส่รองเท้าส้นสูงอีกข้อหนึ่งก็คือ ทำให้ขาของคุณดูเรียวขึ้นและช่วยยกสะโพกขึ้นได้เล็กน้อย แต่ถ้าเราเป็นคนขาสั้นขอย้ำเตือนว่าอย่าเลือกรองเท้าส้นสูงที่พื้นหนาๆ จะทำให้เราดูอ้วนตันไปด้วย ควรเลือกส้นที่เรียวเล็กถึงจะทำให้ดูระหงขึ้น


4. ครีมทาผิวสีแทน คุณควรเปิดใจรับผิวสีแทนดูบ้าง แทนการเป็นสาวผิวขาวอมชมพูตลอดเวลา แล้วคุณจะรู้ว่ามันยอดเยี่ยมมากถ้าคุณอยากจะพรางส่วนเกินชิ้นยักษ์ของคุณให้พ้นจากสายตาคนอื่น เพียงแค่หาครีมทาผิวสีแทนมาทาบริเวณส่วนเกินสักนิด อย่าทาทั้งตัวเด็ดขาด ให้ทำแค่เหมือนการทำไฮไลต์ก็พอ แล้วเรือนร่างของคุณจะดูมีมิติขึ้น

5. หาจุดเด่นของตัวเอง คุณลองสำรวจจุดเด่นบนตัวคุณดู มักต้องมีซักอย่างซิคะ เมื่อเจอแล้วคุณก็เผยมันออกมาให้ดูโดดเด่นที่สุด ถ้าคุณเป็นคนที่มีขาเรียวก็ควรหาสกินนี่ (Skiny) มาใส่จะทำให้คุณดูดีขึ้นทันตาทีเดียว หรือว่าคุณเป็นคนมีหน้าอกสวย ก็ให้เลือกใส่ชุดเข้ารูปเล็กน้อยแค่นี้คุณก็โดดเด่นแล้ว เพราะเมื่อจุดเด่นของคุณเด่นชัดขึ้น แน่นอนที่สุดเลยว่าจุดด้อยทั้งหลายทั้งมวลของคุณจะจางหายไปทันที แต่ก็อย่าให้มันมากจนเกินงามล่ะ

การอาบน้ำช่วยลดหน้าท้อง


คุณสาวๆ เชื่อหรือไม่ว่าแค่การอาบก็สามารถทำให้คุณลดหน้าท้องได้ ไหนๆ เราก็ต้องอาบน้ำทุกวันอยู่แล้ว อย่างน้อยๆ ก็วันละ 2 ครั้ง อย่าปล่อยให้เป็นแค่การอาบน้ำเฉยๆ เลยค่ะ เรามาลดหน้าท้องไปในตัวด้วยเลยดีกว่า ขั้นแรกก็เริ่มจาก เตรียมน้ำเปิดน้ำอุ่นให้อยู่ในระดับ 40 องศาเซลเซียส ต่อจากนั้นให้คุณนั่งคุกเข่าลงไปในน้ำ ยืดอกให้ตรง แหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างวางแนบบริเวณหน้าท้อง แล้วค่อยๆ ลูบลงเบาๆ ประมาณ 20 ครั้ง หลังจากนั้นให้ใช้ฝ่ามือนวด บริเวณหน้าท้องในลักษณะวงกลมวนไปทางขวา 20 ครั้ง แล้ววนไปทางซ้ายอีก 20 ครั้ง เมื่อนวดเสร็จแล้ว ให้ใช้ฝักบัวฉีดน้ำอุ่นที่ปรับอุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย ฉีดแรงๆ บริเวณหน้าท้อง ทำเป็นประจำทุกวัน ควบคู่ไปกับการออกกำลังปกติ แค่นี้คุณก็จะเป็นสาวสวยปราศจากไขมันส่วนเกินสะสมบริเวณหน้าท้อง

แครอทพืชมหัศจรรย์



แครอท มีส่วนประกอบของสาร เบต้าแคโรทีน ที่ไปช่วยยับยั้งเซลล์ของมะเร็งและต่อต้านสารอนุมูลอิสระซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเซลล์มะเร็งได้เป็นอย่างดี และยังมีส่วนช่วยในการทำงานของตับให้ขับสารพิษออกจากร่างกาย แคลเซียมเพคเตทในแครอท จะไปช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล เพื่อลดการเกิดโรคหัวใจและภาวะหัวใจล้มเหลว นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม มีฟอสฟอรัส เหล็ก มีวิตามินเอ บี1 บี2 และวิตามินซี ในหัวแครอทจะมีวิตามินเอสูงมาก สามารถรับประทานเพื่อบำรุงสายตา แก้โรคตาฟาง ใช้เป็นยาขับปัสสาวะเนื่องจากมีปริมาณเกลือโปแตสเซี่ยมสูง และยังสามารถใช้เป็นยาขับพยาธิไส้เดือนได้อีกด้วย นอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ในด้านความงามแครอทก็มีประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า แครอทเป็นพืชที่มีส่วนประกอบของวิตามินเอและวิตามินซีสูงมาก ซึ่งสารตัวนี้จะเป็นประโยชน์มากในด้านความงาม เพราะจะเป็นแอนตี้ออกซิแดนต์อย่างดีที่จะช่วยไปปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ และส่งเสริมให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม ดังนั้นจึงนิยมนำแครอทมาใช้ประโยชน์ในด้านความงาม คือนำมาเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเส้นผมกันอย่างแพร่หลาย และหนึ่งในวิธีใช้แครอทเพื่อความงามอย่างง่ายๆ ไม่มีส่วนผสมที่ยุ่งยาก สามารถทำเองที่บ้านได้เลย ก็คือ การนำมาส์กหน้า

1. นำแครอทมาล้างให้สะอาดแล้วปอกเอาเปลือกออก หั่นเป็นท่อนๆ ต้มในนำเดือดให้สุก

2. จากนั้นบดแครอทต้มให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งลงไป 1 ช้อนโต๊ะ

3. เติมน้ำมันมะกอกลงไปอีก 1 ช้อนโต๊ะ เพื่อช่วยบำรุงผิว ทำให้นุ่มนวล ยืดหยุ่นและเปล่งปลั่ง

4.และเพื่อให้ส่วนผสมนุ่มเนียนขึ้น เติมน้ำแร่ลงไปเล็กน้อย แต่อย่ามากเกินไป หรือถ้าส่วนผสมเหลวพอแล้วก็ไม่ต้องเติมน้ำอีกก็ได้

5.จากนั้นทำความสะอาดผิวหน้าให้ปราศจากเครื่องสำอาง ซับหน้าให้แห้ง

6. ทามาส์กลงบนผิวหน้าให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก

แค่นี้คุณก็สามารถมีผิวสวยด้วยแครอทแล้วละคะ สำหรับผู้ที่มีผิวมันสามารถเพิ่มน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อยพร้อมกับขั้นตอนเติมน้ำมันมะกอก เพราะน้ำมะนาวเป็นแอสตริงเจนต์ ตามธรรมชาติที่จะช่วยลดความมันของผิว ปริมาณของน้ำมะนาวขึ้นอยู่กับความมันของผิว ถ้าผิวคุณแห้งง่าย เติมน้ำมะนาวแค่ 8-10 หยด แต่ถ้าผิวมัน เติมน้ำมะนาวได้ราวหนึ่งช้อนโต๊ะ

การสวมรองเท้าส้นสูง




















การสวมรองเท้าส้นสูง จะทำให้ผู้ที่สวมใส่แลดูเป็นคนมีบุคลิกภาพที่ดี แต่การใส่รองเท้าส้นสูงนั้น เราก็ต้องเลือกใส่ให้เข้ากับเสื้อผ้าที่สวมใส่ในแต่ละวันด้วย และจะต้องเป็นคนที่ได้ผ่านการฝึกฝนการใส่รองส้นสูงมาแล้ว ไม่เช่นนั้นคุณก็จะกลายเป็นตัวตลกไปเลยถ้าหากคุณใส่รองเท้าส้นสูงแล้วแต่เดินไม่เป็น แทนที่จะดูสง่างามกลับกลายเป็นว่ามันยิ่งทำให้ดูแย่เข้าไปอีก แต่การสวมรองเท้าส้นสูงบ่อยๆ ก็อาจทำให้ผู้สวมใส่มีปัญหาด้านสุขภาพตามมาได้

ปัญหาที่พบกับคุณผู้หญิงที่ชอบสวมรองเท้าส้นสูงเป็นประจำก็คือ จะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เกิดโรคข้อนิ้วหัวแม่เท้าเสื่อม แข็ง เก ผิดรูป รวมทั้งอาจเกิดรอยด้านของผิวหนังบริเวณที่ถูกเสียดสี จนทำให้เป็นตาปลา เกิดก้อนแข็ง ๆ ปูดนูนขึ้น เจ็บบริเวณเล็บ หรือเล็บขบ อีกทั้งขณะที่สวมรองเท้าส้นสูง อวัยวะบางส่วนของร่างกายต้องทำงานหนักขึ้นจนอาจเกิดผลเสียตามมาอีกได้ เช่น

- หลังส่วนกลาง อาจจะต้องบิดโค้งเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ

- กระดูกสันหลังช่วงล่าง
การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่งขึ้นไป จะทำให้แนวกระดูกบริเวณนี้แอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่การปวดหลัง

- เชิงกราน
บริเวณส่วนนี้จะถูกยกขึ้นอย่างไม่มีความสมดุล อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณเชิงกรานอ่อนแอ

- เข่า ต้องทำหน้าที่รับน้ำหนักมากขึ้น อาจทำให้เกิดอาการปวดข้อต่อ และจะมีอาการอักเสบตามมา

- น่อง การเดินเขย่งด้วยปลายเท้าบ่อยๆ อาจจะทำให้กล้ามเนื้อน่องสั้นขึ้น

- ข้อเท้า ในการขยับข้อเท้าขณะที่ยังสวมรองเท้าส้นสูงอยู่นั้น หากจะทำให้ข้อเท้าทำงานผิดจังหวะ จนส่งผลให้เกิดข้อเท้าแพลงได้

- เท้า ส่วนนี้ต้องมีหน้าที่รับบทหนักกว่าส่วนอื่น เพราะต้องรักษาสมดุลของร่างกายไปด้านหน้า ส่งผลต่อกระดูกที่ฝ่าเท้าอาจมีอาการปวดเมื่อย จนถึงขั้นอักเสบได้

สำหรับอาการที่กล่าวมาข้างต้นนี้ อาจจะไม่เกิดกับทุกคนเสมอไป เพราะแต่ละคนจะมีลักษณะของรูปเท้าที่แตกต่างกันออกไป เช่น คนที่รูปเท้าเรียวและอวบนูน ก็จะไม่ค่อยเกิดปัญหา แต่สำหรับคนที่รูปเท้าแบนราบ บริเวณฝ่าเท้าจะสัมผัสกับพื้นรองเท้ามากเป็นพิเศษ เพราะรองเท้าส้นสูงจะเป็นรองเท้าที่รูปทรงที่เรียวและแคบ อาจทำให้เกิดการบีบรัดมากขึ้น ดังนั้นการเลือกสวมใส่รองเท้าควรเลือกให้เข้ากับรูปเท้าด้วย และที่สำคัญคืออย่าสวมใส่รองเท้าส้นสูงติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ก็จะดีที่สุด ควรเปลี่ยนมาสวมรองเท้าที่พื้นแบนราบบ้างเพื่อเท้าจะได้ผ่อนคลายไม่ทำงานหนักจนเกินไป

ภาวะความผิดปกติของประจำเดือน




















ความผิดปกติของประจำเดือนมักจะเกิดขึ้นได้ใน 3 ลักษณะ ดังนี้คือ
1. อาการปวดประจำเดือนคล้ายเป็นตะคริว (dysmenorrhoea)
2. มีเลือดประจำเดือนมากหรือมีประจำเดือนนานกว่าปกติ (menorrhagia)
3. การไม่มีประจำเดือน (amenorrhoea)

โดยทั่วไปแล้วอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่ช่วงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น เมื่อย่างเข้าสู่วัยสาว หรือช่วงวัยก่อนหมดประจำเดือน แต่ภาวะดังกล่าวอาจเกิดขึ้นในเวลาใดก็ได้ระหว่างวัยเจริญพันธุ์

การปฎิบัติตัว
- ควรอาบน้ำร้อนหรือใช้ กระเป๋าน้ำร้อนประคบช่วงท้องไว้ เพื่อให้มดลูกผ่อนคลาย และช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
- หมั่นออกกำลังกาย ไม่จำเป็นต้องหักโหมมาก เพื่อช่วยให้ร่างกายได้มีการหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (endorphin) ซึ่งเป็นสารแก้ความเจ็บปวดตามธรรมชาติได้

อาหารที่ควรรับประทาน
- ควรเลือกทานอาการที่ส่วนประกอบของ กรดไขมันโอเมก้า3 ซึ่งจะมีอยู่ในน้ำมันปลา ซึ่งจะไปช่วยยับยั้งการหลั่งพรอสตาแกลนดิน
- ทานสมุนไพรเชสต์เบอร์รี ซึ่งมีสารช่วยบรรเทาอาการผิดปกติก่อนมีประจำเดือน โดยปรับความสมดุลของระดับฮอร์โมนเพศในร่างกาย
- ตังกุย จะมีสารช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเช่นกัน แต่ไม่ควรทานหากเป็นช่วงที่มีประจำเดือนมาก

สาเหตุการเกิด
สำหรับอาการปวดท้องที่เกิดจากพรอสตาแกลนดิน (prostaglandin) เป็นสารคล้ายฮอร์โมนที่เยื่อบุมดลูกหลั่งออกมาช่วงระหว่างการมีประจำเดือน คนที่มีประจำเดือนไหลออกมามากจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ ชั่วโมงหรือบ่อยกว่านั้น หรือไม่ก็มีช่วงประจำเดือนยาวนานกว่า 7 วัน ซึ่งจัดว่าเป็นภาวะมีประจำเดือนมาก แม้สาเหตุใหญ่เกิดจากฮอร์โมนหรือโภชนาการไม่สมดุล แต่ก็อาจเกิดจากที่มีเนื้องอกในมดลูก (fibroid) ก็ได้ และนอกจากนี้ยังอาจจะมีสาเหตุจากหลอดเลือดในมดลูกที่มีอาจเปราะบางและแตกง่าย ส่วนภาวะขาดประจำเดือน อาจเกิดจากการออกกำลังกายอย่างหักโหมหรือมีการควบคุมอาหารมากเกินไป

การไม่มีประจำเดือน

สำหรับกรณีที่ไม่มีประจำเดือน ควรต้องทำการตรวจให้แน่ใจก่อนว่าไม่ได้มีการตั้งครรภ์ เมื่อแน่ใจแล้วก็ลองกินเชสต์เบอร์รีและตังกุย คู่กับวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เพื่อปรับรอบเดือนให้เป็นปกติ สมุนไพรอาจช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมน และทำให้ประจำเดือนมาตามปกติ แต่อาจต้องใช้เวลาในการรักษานานถึง 6 เดือน จึงจะเริ่มเห็นผล

หลากหลายอารมณ์ผู้หญิงที่เข้าใจยาก


















บ่อยครั้งที่เรามักเจอผู้หญิงที่ชอบแสดงอาการแปลก ๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ซึ่งจะบ่งบอกให้รู้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ เช่น ในยามที่เธอรู้สึกไม่พอใจกับอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชายคนรัก เมื่อใดก็ตามที่เธอรู้สึกว่าคนรักของเธอได้เปลี่ยนแปลงไป โดยสงสัยว่าอาจจะมีใครอีกคนเข้ามาทำให้เค้าเปลี่ยนไป สำหรับสาวๆ แต่ละคนก็จะมีการแสดงออกที่แตกต่างกันไป

สาวแบบที่ 1 เก็บตัวเงียบ คิดมากและน้อยใจคนเดียว

ผู้หญิงแบบนี้มักจะเป็นคนคิดมาก จนกลายเป็นไม่มีความสุข และรู้สึกว่าตนเองไร้ความสำคัญ หรือคิดว่าฝ่ายชายหมดรักตัวเองแล้ว มักจะไม่แสดงออกโดยตรง แต่จะมาในรูปของการงอน เงียบ หลบหน้าหลบตา ไม่รับโทรศัพท์ หรือขาดการติดต่อ แต่จะไม่ตีโพยตีพาย บางรายหากแน่ใจว่าคนรักไม่รักตนอีกแล้วก็จะตัดใจและจากไปเงียบๆ โดยไม่มีคำร่ำลา (เพราะทำใจไม่ได้และเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดกัน หากเค้าหมดรักก็ไม่อยากที่จะรั้งเอาไว้ เพราะมีแต่จะเสียใจไปเปล่า ๆ)

สาวแบบที่ 2 ระเบิดอารมณ์

ผู้หญิง แบบนี้มักจะเป็นสาวอารมณ์ร้อน เก็บความรู้สึกไม่เป็น สงสัยอะไร หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นก็จะต้องมีการซักถามเพื่อให้ได้คำตอบ ถ้าไม่ได้คำตอบก็จะมีการโวยวาย ชวนทะเลาะ และจะแสดงออกถึงความไม่พอใจออกมาได้อย่างเด่นชัด และจะต้องคาดคั้นเอาความจริงให้ได้ จะต้องพูดกันจนกว่าจะเคลียร์ ถ้าหากพูดกันไม่จบก็อาจจะมีการไปราวีบุคคลที่ 3 หรือกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตตามมา (ประเภทแฟนข้าใครอย่าแตะ แต่ถ้าข้าไม่ได้ ใครก็อย่าหวังจะได้เลย เอากันให้ตายไปข้าง)

สาวแบบที่ 3 ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผู้หญิง แบบนี้ถือว่าค่อนข้างใจเย็น จะเก็บอารมณ์ตนเองได้ดี โดยจะไม่ตีโพยตีพายตั้งแต่แรก แต่จะคอยสังเกตพฤติกรรมเงียบ ๆ โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว แต่ถ้าหากพบว่าตัวเองเข้าใจผิดก็จะเฉยซะ แต่ถ้าเข้าใจถูกก็จะเปิดใจพูดกัน หากฝ่ายชายเคลียร์ตัวเองได้ก็ถือว่าจบไป หรือไม่เช่นนั้นอาจจะไม่สนใจไปเลยแล้วก็อาจจะตัดสินใจเลิกรากันไปเลย (เพราะผู้หญิงแบบนี้ใจเด็ดแล้วมักจะมองว่าตัวเองก็มีศักดิ์ศรี เมื่อเขามีคนอื่นแล้ว ก็ไม่ควรจะเสียเวลาให้แก่กันต่อไปอีก สู้เอาเวลาไปหาแฟนใหม่ดีกว่า)

ไม่ว่าเธอจะเป็นมีอารมณ์แบบใดก็ตาม คุณผู้ชายทั้งหลายก็ควรจะระมัดระวังเอาไว้ คุณอย่าได้ปฎิบัติตัวนอกลู่นอกทาง คุณควรเป็นคนที่ชัดเจน อย่าปล่อยให้ความหวาดระแวงเข้ามาในใจแฟนของคุณ ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะเสียคนที่คุณรักไปก็ได้ มีอะไรก็ควรพูดควรอธิบายให้คนรักของคุณเข้าใจ เพราะบางสิ่งคุณอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่มีอะไร แต่สำหรับผู้หญิงแล้วมันคือเรื่องใหญ่สำหรับเค้า แล้วมันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่กำลังไปทำลายความรักของคุณอยู่ก็ได้

เคล็ดลับ 4 ข้อเพื่อขาสวย















คุณสาวๆ รู้หรือไม่ว่าการที่เรานั่งเป็นเวลานาน ๆ นั้น จะทำให้เส้นเลือดที่ไหลลงมาหล่อเลี้ยงขา ไม่สามารถไหลเวียนกลับขึ้นสู่หัวใจได้สะดวก จึงส่งผลให้เกิดหลอดเลือดขาโป่งพอง หรือขดขอด จนไปดันเซลล์และอวัยวะส่วนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง จึงทำให้เรารู้สึกปวดเมื่อยขา และขาจะบวมขึ้น ถ้าเราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการนั่งทำงานได้ละก็ เราต้องมาดูเคล็ดลับที่สามารถแก้อาการเส้นเลือดขอด สำหรับสาวๆ ออฟฟิศกันเลยค่ะ

1. อย่านั่งนานเกินไป ในระหว่างการนั่งทำงาน เราควรมีการเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง หรือควรจะลุกเดินไปไหนมาไหน เพื่อเป็นการยืดเส้นยืดสายบ้าง เช่น อาจจะลุกไปหยิบแฟ้มงาน แทนที่จะรีบกลับมานั่งอ่านที่โต๊ะ ก็อาจจะเปิดอ่านไปด้วยแล้วเดินไปมารอบๆ โต๊ะทำงานบ้างก็ได้ หรือระหว่างที่ยืนรอหน้าเครื่องถ่ายเอกสาร ก็อาจจะบริหารเท้าด้วยท่าง่ายไปด้วย ถ้าพยายามทำทุกๆ ชั่วโมงก็สามารถช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง

2. ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2.7 ลิตร
น้ำ เป็นส่วนประกอบ 2 ใน 3 หรือประมาณ 70% ของร่างกาย ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก ทั้งเลือดและน้ำย่อย ก็มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ปกติร่างกายเราจะสูญเสียน้ำประมาณ 10 ถ้วยหรือ2.5 ลิตรทางเหงื่อ ลมหายใจและการขับถ่าย ดังนั้นเราต้องดื่มน้ำในปริมาณมากก็เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดในร่างกายเข้มข้นเกินไปจนไหลเวียนไม่สะดวก ทั้งนี้ในปริมาณ 2.7 ลิตรของน้ำที่ดื่มต่อวัน อาจเป็นน้ำผลไม้ น้ำผักสมุนไพร น้ำนม หรือน้ำซุปก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำเปล่าอย่างเดียว แต่ก็ไม่ควรเป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์อยู่ด้วย เพราะเครื่องดื่มดังกล่าวจะยิ่งทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น

3. ควรนอนตัวตรง
ในเวลานอนพักผ่อน หรือว่าในเวลานอนหลับ ควรนอนในท่าที่ถูกต้อง ไม่นอนขดตัวหรือว่านอนงอคุดคู้ ควรนอนปล่อยขาให้เหยียดตรง

4 หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อรัดติ้ว
สำหรับสาว ๆ ที่ชอบใส่เสื้อตัวเล็ก ๆ เพื่อรัดทรวดทรงให้เห็นสัดส่วนได้ชัดเจน จนเนื้อปลิ้นออกมา ก็ควรเปลี่ยนการแต่งตัวซะใหม่ เพราะการสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดติ้วเกินไปนั้น จะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก รวมไปถึงการรัดเข็มขัดแน่จนเกินไปด้วย

7 วิธีเผยผิวหน้าสวยสู้หน้าหนาว



















1. ห้ามใช้น้ำอุ่นล้างหน้า ควรล้างหน้าด้วยน้ำเย็น ถ้าใช้น้ำอุ่น หน้าก็จะยิ่งแห้งและคันมากขึ้น

2. ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนๆ เป็นสบู่ที่ไม่มีความเป็นกรดหรือด่างมากเกินไป สำหรับสาวที่มีผิวแห้งมาก ๆ ควรเลือกใช้แบบที่มีมอยเจอร์ไรเซอร์เป็นส่วนผสมของสบู่ด้วย เพื่อจะได้ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว

3.. อย่าเกาหรือถูใบหน้าแรง ๆ
เพราะการที่เราไปทำอะไรรุนแรงกับผิวหน้าในช่วงที่สภาพอากาศแห้งผิวเสียน้ำมาก จะทำให้เกิดแผลและสิวได้ง่าย

4.. ใช้ครีมกันแดดทาผิวเป็นประจำทุกวัน เพราะในช่วงหน้าหนาว แม้สภาพอากาศจะเย็น แต่แสงแดดจะแรงมาก

5.. ลงเซรั่ม (Serum) ก่อนใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเดย์ครีม หรือไนท์ครีม และควรลงเซรั่มก่อน เพื่อช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิว และเสริมการผลิตคอลลาเจน ที่เป็นตัวการสำคัญของการเกิดริ้วรอยบนใบหน้า

6. งดการอบซาวน่าในช่วงหน้าหนาว
เพราะการอบซาวน่าคือการดึงน้ำและความชุ่มชื้นออกจากร่างกาย และใบหน้าอย่างรวดเร็ว จะยิ่งทำให้ผิวเราแห้งมากขึ้นไปอีก

7. ควรหาแว่นกันและหมวกปีกกว้างใส่ เมื่อต้องออกนอกบ้านในตอนที่แสงแดดจ้า เพื่อช่วยปกป้องรังสียูวี

การบริหารทรวงอกเพื่อเพิ่มความกระชับ




















สำหรับสาวๆ ที่หน้าอกหย่อนคล้อยไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม ทำให้หน้าอกเสียรูปทรง ใส่เสื้อผ้าไม่สวย ถ้าอยากมีหน้าอกกระชับแต่งตึงโดยไม่ต้องผ่านมีดหมอ เรามีเคล็บลับการบริหารทรวงอกเพื่อเพิ่มความกระชับมาฝาก สามารถใช้ได้กับสาวที่มีหน้าอกสวยอยู่แล้วแต่อยากให้คงรูปสวยตลอดเวลา ง่ายด้วย 5 ท่า ดังต่อไปนี้

ท่าที่ 1
เริ่มจากยืนตัวตรง ยื่นเท้าขวาออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วงอเข่าเล็กน้อย ส่วนเท้าซ้ายเหยียบบนผ้าฟิตเนสโดยใช้ส่วนของปลายเท้าเหยียบเอาไว้ แล้วใช้สองมือข้างยึดปลายผ้าทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง แล้วกางแขนออกไปและก้มตัวลง โดยไม่ต้องเคลื่อนไหวต้นแขน จากนั้นก้มลงและยืดตัวขึ้น ทำซ้ำ 15 ครั้ง

ท่าที่ 2
นั่งขัดสมาธิให้ลำตัวตั้งตรง งอแขนโดยใช้ฝ่ามือประกบกันในลักษณะเหมือนการไหว้ และตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างหน้าอก จากนั้นก็เริ่มเกร็งแขนและหน้าอก ดันฝ่ามือเข้าหากันประมาณ 2-3 วินาที แล้วคลายออก ทำซ้ำ 16 ครั้ง

ท่าที่ 3
นั่งท่าขัดสมาธิ ใช้มือจับผ้าฟิตเนสสองข้างโดยให้ผ้าพาดอยู่ด้านหลังอ้อมใต้รักแร้ งอแขนแล้วเกร็งแขน จากนั้นค่อยๆ ดึงผ้าเข้าหากันมาที่หน้าอก ทำซ้ำ 15 ครั้ง

ท่าที่ 4
คุกเข่าลงแล้วก้มตัวไปกับพื้น พาดผ้าฟิตเนสเอาไว้ด้านหลัง ใช้มือทั้งสองข้างจับผ้าแต่ละด้านไว้ และใช้สองแขนพยุงไหล่ไว้ กางแขนแล้วก้มตัวลง ทำ 10-15 ครั้ง

ท่าที่ 5
ยืนกางขาและงอขาเล็กน้อย ใช้สองเท้าเหยียบกลางผ้าฟิตเนสไว้ ใช้สองแขนจับปลายผ้า ปล่อยแขนไว้ที่สะโพก โดยให้ข้อศอกชี้ไปด้านหลัง แขนขวาดึงปลายผ้าไปข้างหลัง แขนซ้ายงอทำเป็นเส้นทแยงมุม ดึงขึ้นไปด้านบน สลับข้างและทำข้างละ 15 ครั้ง

วิธีสร้างเสน่ห์เย้ายวนให้กับทรวงอก





















คนเราไม่ได้ดูดีมีเสนห์ที่เฉพาะหน้าตาอย่างเดียว ถึงแม้หน้าตาธรรมดาไม่เข้าขั้นว่าสวยมีเสน่ห์บาดตาบาดใจเหมือนคนอื่นๆ เขา แต่ก็สามารถเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับทรวงอกให้ดูสวยเย้ายวนได้นะ มาลองดูวิธีเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับทรวงอกแบบง่ายๆ ด้วยตัวเองกันดีกว่าค่ะ

1. ใช้ฝักบัวเป็นตัวช่วย เวลาอาบน้ำควรอาบให้ใช้น้ำเย็นทำความสะอาดบริเวณอก และใช้ฝักบัวน้ำเย็นฉีดวนรอบๆ ทรวงอกเป็นประจำ จะช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของเลือดและทำให้เนื้อเยื่อที่เป็นไขมันในทรวงอกกระชับตัวขึ้น

2. ใช้น้ำมัน หรือโลชั่นบำรุงผิว นวดเบาๆ บริเวณหน้าอก โดยนวดแบบวนขึ้น จะสามารถช่วยให้อกกระชับ และดูสวยขึ้นได้

3. หมั่นออกกำลังกายแบบการบริหารกล้ามเนื้อบริเวณทรวงอก
ซึ่งจะช่วยป้องกันการหย่อนยานของทรวงอกได้

4. ควรเลือกซื้อยกทรงให้ได้ขนาดพอดีกับทรวงอกของเราเอง ไม่ควรสวมให้แน่นเกินไป และไม่ควรเลือกซื้อยกทรงในขณะที่กำลังมีประจำเดือน เนื่องจากในช่วงนี้ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ทรวงอกจะขยายตัวใหญ่ขึ้น (สำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์และให้นมลูก ต้องเลือกใส่เสื้อยกทรงที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ)

วิธีแก้ริมฝีปากแห้ง (How to Cure Chapped Lips)















ช่วงนี้ก็เป็นช่วงฤดูหนาวถ้าไม่ดูแลตัวเองดีๆ ต้องกลายเป็นสาวผิวแตกแน่นอนเลย นอกจากผิวกายผิวหน้าจะแตกแล้ว ยังเพิ่มปัญหาริมฝีปากแห้งแตกอีกด้วย สำหรับหลายๆ คน ปัญหาริมฝีปากแห้งส่วนใหญ่มักจะมีสาเหตุมาจากการเป็นคนไม่ชอบดื่มน้ำหรือว่าดื่มน้ำน้อย ส่วนที่มาจากสาเหตุอื่นมักเป็นเรื่องรองๆ ซึ่งอาจจะต้องมีการพบแพทย์เพื่อทำการรักษา และคุณควรมีข้อมูลการใช้ยา และโรคประจำตัวที่เป็น เพราะจะช่วยให้การวิเคราะห์หาสาเหตุแก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น

แต่ในที่นี้เรามีวิธีแก้ปัญหาริมฝีปากแห้งตามธรรมชาติมาฝาก ริมฝีปากแห้งอย่าปล่อยทิ้งไว้นานๆ เด็ดขาด เพราะอาการจะรุนแรงขึ้นถึงขั้นแตกลอกเป็นขุย บางรายเป็นหนักถึงกับมีเลือดออกซิบๆ เลยทีเดียว ถ้าเป็นถึงขนาดนี้ก็คงต้องงดของอร่อยแซ่บๆ อย่างส้มตำไก่ย่างแน่นอน ถ้าใครไม่อยากเป็นเยี่ยงนี้ ก็ต้องดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ หรือจิบน้ำอุ่นบ่อยๆ

ส่วนอาการริมฝีปากแห้งลอกเป็นขุย ควรใช้น้ำอุ่นผสมเกลือป่นเล็กน้อยใช้สำลีชุบให้เปียกแล้วบีบน้ำออกพอหมาด แล้วเช็ดไล้เบาๆ ไปบนริมฝีปาก จะทำให้ขุยต่างๆ หลุดลอกออกไปได้โดยง่าย จากนั้นก็ทาลิปมันหรือปิโตรเลียมเจลลงไป

สำหรับใครที่ริมฝีปากแห้งแตกเป็นแผลมีอาการแสบก็ใช้วิธีนี้ไม่ได้ คงต้องใช้ปิโตรเลียมเจลทาทิ้งไว้ให้หนากว่าปกติทิ้งไว้ซักครึ่งชั่วโมงก่อน จากนั้นใช้สำลีชุบน้ำอุ่น แล้วบิดให้พอหมาด แล้วเช็ดไล้เบาๆ เอาปิโตรเลียมเจลออกก่อน จากนั้นก็ทาลิปมันธรรมดาหรือมอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับทาริมฝีปากได้เลย แต่ควรจะทำอย่างนี้ทุกวันจนกว่าอาการแห้งแตกจะหาย เมื่อหายดีแล้วที่สำคัญที่สุดก็คือต้องไม่ลืมดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ และบ่อยๆ และห้ามเลียริมฝีปากเด็ดขาด คุณถึงจะมีริมฝีปากเนียนนุ่มชวนมอง