Subscribe

RSS Feed (xml)

Powered By

Powered by Blogger

การสวมรองเท้าส้นสูง




















การสวมรองเท้าส้นสูง จะทำให้ผู้ที่สวมใส่แลดูเป็นคนมีบุคลิกภาพที่ดี แต่การใส่รองเท้าส้นสูงนั้น เราก็ต้องเลือกใส่ให้เข้ากับเสื้อผ้าที่สวมใส่ในแต่ละวันด้วย และจะต้องเป็นคนที่ได้ผ่านการฝึกฝนการใส่รองส้นสูงมาแล้ว ไม่เช่นนั้นคุณก็จะกลายเป็นตัวตลกไปเลยถ้าหากคุณใส่รองเท้าส้นสูงแล้วแต่เดินไม่เป็น แทนที่จะดูสง่างามกลับกลายเป็นว่ามันยิ่งทำให้ดูแย่เข้าไปอีก แต่การสวมรองเท้าส้นสูงบ่อยๆ ก็อาจทำให้ผู้สวมใส่มีปัญหาด้านสุขภาพตามมาได้

ปัญหาที่พบกับคุณผู้หญิงที่ชอบสวมรองเท้าส้นสูงเป็นประจำก็คือ จะมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เกิดโรคข้อนิ้วหัวแม่เท้าเสื่อม แข็ง เก ผิดรูป รวมทั้งอาจเกิดรอยด้านของผิวหนังบริเวณที่ถูกเสียดสี จนทำให้เป็นตาปลา เกิดก้อนแข็ง ๆ ปูดนูนขึ้น เจ็บบริเวณเล็บ หรือเล็บขบ อีกทั้งขณะที่สวมรองเท้าส้นสูง อวัยวะบางส่วนของร่างกายต้องทำงานหนักขึ้นจนอาจเกิดผลเสียตามมาอีกได้ เช่น

- หลังส่วนกลาง อาจจะต้องบิดโค้งเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ

- กระดูกสันหลังช่วงล่าง
การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่งขึ้นไป จะทำให้แนวกระดูกบริเวณนี้แอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่การปวดหลัง

- เชิงกราน
บริเวณส่วนนี้จะถูกยกขึ้นอย่างไม่มีความสมดุล อาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณเชิงกรานอ่อนแอ

- เข่า ต้องทำหน้าที่รับน้ำหนักมากขึ้น อาจทำให้เกิดอาการปวดข้อต่อ และจะมีอาการอักเสบตามมา

- น่อง การเดินเขย่งด้วยปลายเท้าบ่อยๆ อาจจะทำให้กล้ามเนื้อน่องสั้นขึ้น

- ข้อเท้า ในการขยับข้อเท้าขณะที่ยังสวมรองเท้าส้นสูงอยู่นั้น หากจะทำให้ข้อเท้าทำงานผิดจังหวะ จนส่งผลให้เกิดข้อเท้าแพลงได้

- เท้า ส่วนนี้ต้องมีหน้าที่รับบทหนักกว่าส่วนอื่น เพราะต้องรักษาสมดุลของร่างกายไปด้านหน้า ส่งผลต่อกระดูกที่ฝ่าเท้าอาจมีอาการปวดเมื่อย จนถึงขั้นอักเสบได้

สำหรับอาการที่กล่าวมาข้างต้นนี้ อาจจะไม่เกิดกับทุกคนเสมอไป เพราะแต่ละคนจะมีลักษณะของรูปเท้าที่แตกต่างกันออกไป เช่น คนที่รูปเท้าเรียวและอวบนูน ก็จะไม่ค่อยเกิดปัญหา แต่สำหรับคนที่รูปเท้าแบนราบ บริเวณฝ่าเท้าจะสัมผัสกับพื้นรองเท้ามากเป็นพิเศษ เพราะรองเท้าส้นสูงจะเป็นรองเท้าที่รูปทรงที่เรียวและแคบ อาจทำให้เกิดการบีบรัดมากขึ้น ดังนั้นการเลือกสวมใส่รองเท้าควรเลือกให้เข้ากับรูปเท้าด้วย และที่สำคัญคืออย่าสวมใส่รองเท้าส้นสูงติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ก็จะดีที่สุด ควรเปลี่ยนมาสวมรองเท้าที่พื้นแบนราบบ้างเพื่อเท้าจะได้ผ่อนคลายไม่ทำงานหนักจนเกินไป

ภาวะความผิดปกติของประจำเดือน




















ความผิดปกติของประจำเดือนมักจะเกิดขึ้นได้ใน 3 ลักษณะ ดังนี้คือ
1. อาการปวดประจำเดือนคล้ายเป็นตะคริว (dysmenorrhoea)
2. มีเลือดประจำเดือนมากหรือมีประจำเดือนนานกว่าปกติ (menorrhagia)
3. การไม่มีประจำเดือน (amenorrhoea)

โดยทั่วไปแล้วอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่ช่วงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น เมื่อย่างเข้าสู่วัยสาว หรือช่วงวัยก่อนหมดประจำเดือน แต่ภาวะดังกล่าวอาจเกิดขึ้นในเวลาใดก็ได้ระหว่างวัยเจริญพันธุ์

การปฎิบัติตัว
- ควรอาบน้ำร้อนหรือใช้ กระเป๋าน้ำร้อนประคบช่วงท้องไว้ เพื่อให้มดลูกผ่อนคลาย และช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
- หมั่นออกกำลังกาย ไม่จำเป็นต้องหักโหมมาก เพื่อช่วยให้ร่างกายได้มีการหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (endorphin) ซึ่งเป็นสารแก้ความเจ็บปวดตามธรรมชาติได้

อาหารที่ควรรับประทาน
- ควรเลือกทานอาการที่ส่วนประกอบของ กรดไขมันโอเมก้า3 ซึ่งจะมีอยู่ในน้ำมันปลา ซึ่งจะไปช่วยยับยั้งการหลั่งพรอสตาแกลนดิน
- ทานสมุนไพรเชสต์เบอร์รี ซึ่งมีสารช่วยบรรเทาอาการผิดปกติก่อนมีประจำเดือน โดยปรับความสมดุลของระดับฮอร์โมนเพศในร่างกาย
- ตังกุย จะมีสารช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเช่นกัน แต่ไม่ควรทานหากเป็นช่วงที่มีประจำเดือนมาก

สาเหตุการเกิด
สำหรับอาการปวดท้องที่เกิดจากพรอสตาแกลนดิน (prostaglandin) เป็นสารคล้ายฮอร์โมนที่เยื่อบุมดลูกหลั่งออกมาช่วงระหว่างการมีประจำเดือน คนที่มีประจำเดือนไหลออกมามากจนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุกๆ ชั่วโมงหรือบ่อยกว่านั้น หรือไม่ก็มีช่วงประจำเดือนยาวนานกว่า 7 วัน ซึ่งจัดว่าเป็นภาวะมีประจำเดือนมาก แม้สาเหตุใหญ่เกิดจากฮอร์โมนหรือโภชนาการไม่สมดุล แต่ก็อาจเกิดจากที่มีเนื้องอกในมดลูก (fibroid) ก็ได้ และนอกจากนี้ยังอาจจะมีสาเหตุจากหลอดเลือดในมดลูกที่มีอาจเปราะบางและแตกง่าย ส่วนภาวะขาดประจำเดือน อาจเกิดจากการออกกำลังกายอย่างหักโหมหรือมีการควบคุมอาหารมากเกินไป

การไม่มีประจำเดือน

สำหรับกรณีที่ไม่มีประจำเดือน ควรต้องทำการตรวจให้แน่ใจก่อนว่าไม่ได้มีการตั้งครรภ์ เมื่อแน่ใจแล้วก็ลองกินเชสต์เบอร์รีและตังกุย คู่กับวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เพื่อปรับรอบเดือนให้เป็นปกติ สมุนไพรอาจช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมน และทำให้ประจำเดือนมาตามปกติ แต่อาจต้องใช้เวลาในการรักษานานถึง 6 เดือน จึงจะเริ่มเห็นผล

หลากหลายอารมณ์ผู้หญิงที่เข้าใจยาก


















บ่อยครั้งที่เรามักเจอผู้หญิงที่ชอบแสดงอาการแปลก ๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ซึ่งจะบ่งบอกให้รู้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอ เช่น ในยามที่เธอรู้สึกไม่พอใจกับอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชายคนรัก เมื่อใดก็ตามที่เธอรู้สึกว่าคนรักของเธอได้เปลี่ยนแปลงไป โดยสงสัยว่าอาจจะมีใครอีกคนเข้ามาทำให้เค้าเปลี่ยนไป สำหรับสาวๆ แต่ละคนก็จะมีการแสดงออกที่แตกต่างกันไป

สาวแบบที่ 1 เก็บตัวเงียบ คิดมากและน้อยใจคนเดียว

ผู้หญิงแบบนี้มักจะเป็นคนคิดมาก จนกลายเป็นไม่มีความสุข และรู้สึกว่าตนเองไร้ความสำคัญ หรือคิดว่าฝ่ายชายหมดรักตัวเองแล้ว มักจะไม่แสดงออกโดยตรง แต่จะมาในรูปของการงอน เงียบ หลบหน้าหลบตา ไม่รับโทรศัพท์ หรือขาดการติดต่อ แต่จะไม่ตีโพยตีพาย บางรายหากแน่ใจว่าคนรักไม่รักตนอีกแล้วก็จะตัดใจและจากไปเงียบๆ โดยไม่มีคำร่ำลา (เพราะทำใจไม่ได้และเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดกัน หากเค้าหมดรักก็ไม่อยากที่จะรั้งเอาไว้ เพราะมีแต่จะเสียใจไปเปล่า ๆ)

สาวแบบที่ 2 ระเบิดอารมณ์

ผู้หญิง แบบนี้มักจะเป็นสาวอารมณ์ร้อน เก็บความรู้สึกไม่เป็น สงสัยอะไร หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นก็จะต้องมีการซักถามเพื่อให้ได้คำตอบ ถ้าไม่ได้คำตอบก็จะมีการโวยวาย ชวนทะเลาะ และจะแสดงออกถึงความไม่พอใจออกมาได้อย่างเด่นชัด และจะต้องคาดคั้นเอาความจริงให้ได้ จะต้องพูดกันจนกว่าจะเคลียร์ ถ้าหากพูดกันไม่จบก็อาจจะมีการไปราวีบุคคลที่ 3 หรือกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตตามมา (ประเภทแฟนข้าใครอย่าแตะ แต่ถ้าข้าไม่ได้ ใครก็อย่าหวังจะได้เลย เอากันให้ตายไปข้าง)

สาวแบบที่ 3 ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผู้หญิง แบบนี้ถือว่าค่อนข้างใจเย็น จะเก็บอารมณ์ตนเองได้ดี โดยจะไม่ตีโพยตีพายตั้งแต่แรก แต่จะคอยสังเกตพฤติกรรมเงียบ ๆ โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว แต่ถ้าหากพบว่าตัวเองเข้าใจผิดก็จะเฉยซะ แต่ถ้าเข้าใจถูกก็จะเปิดใจพูดกัน หากฝ่ายชายเคลียร์ตัวเองได้ก็ถือว่าจบไป หรือไม่เช่นนั้นอาจจะไม่สนใจไปเลยแล้วก็อาจจะตัดสินใจเลิกรากันไปเลย (เพราะผู้หญิงแบบนี้ใจเด็ดแล้วมักจะมองว่าตัวเองก็มีศักดิ์ศรี เมื่อเขามีคนอื่นแล้ว ก็ไม่ควรจะเสียเวลาให้แก่กันต่อไปอีก สู้เอาเวลาไปหาแฟนใหม่ดีกว่า)

ไม่ว่าเธอจะเป็นมีอารมณ์แบบใดก็ตาม คุณผู้ชายทั้งหลายก็ควรจะระมัดระวังเอาไว้ คุณอย่าได้ปฎิบัติตัวนอกลู่นอกทาง คุณควรเป็นคนที่ชัดเจน อย่าปล่อยให้ความหวาดระแวงเข้ามาในใจแฟนของคุณ ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะเสียคนที่คุณรักไปก็ได้ มีอะไรก็ควรพูดควรอธิบายให้คนรักของคุณเข้าใจ เพราะบางสิ่งคุณอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่มีอะไร แต่สำหรับผู้หญิงแล้วมันคือเรื่องใหญ่สำหรับเค้า แล้วมันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่กำลังไปทำลายความรักของคุณอยู่ก็ได้

เคล็ดลับ 4 ข้อเพื่อขาสวย















คุณสาวๆ รู้หรือไม่ว่าการที่เรานั่งเป็นเวลานาน ๆ นั้น จะทำให้เส้นเลือดที่ไหลลงมาหล่อเลี้ยงขา ไม่สามารถไหลเวียนกลับขึ้นสู่หัวใจได้สะดวก จึงส่งผลให้เกิดหลอดเลือดขาโป่งพอง หรือขดขอด จนไปดันเซลล์และอวัยวะส่วนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง จึงทำให้เรารู้สึกปวดเมื่อยขา และขาจะบวมขึ้น ถ้าเราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการนั่งทำงานได้ละก็ เราต้องมาดูเคล็ดลับที่สามารถแก้อาการเส้นเลือดขอด สำหรับสาวๆ ออฟฟิศกันเลยค่ะ

1. อย่านั่งนานเกินไป ในระหว่างการนั่งทำงาน เราควรมีการเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง หรือควรจะลุกเดินไปไหนมาไหน เพื่อเป็นการยืดเส้นยืดสายบ้าง เช่น อาจจะลุกไปหยิบแฟ้มงาน แทนที่จะรีบกลับมานั่งอ่านที่โต๊ะ ก็อาจจะเปิดอ่านไปด้วยแล้วเดินไปมารอบๆ โต๊ะทำงานบ้างก็ได้ หรือระหว่างที่ยืนรอหน้าเครื่องถ่ายเอกสาร ก็อาจจะบริหารเท้าด้วยท่าง่ายไปด้วย ถ้าพยายามทำทุกๆ ชั่วโมงก็สามารถช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง

2. ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2.7 ลิตร
น้ำ เป็นส่วนประกอบ 2 ใน 3 หรือประมาณ 70% ของร่างกาย ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก ทั้งเลือดและน้ำย่อย ก็มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ปกติร่างกายเราจะสูญเสียน้ำประมาณ 10 ถ้วยหรือ2.5 ลิตรทางเหงื่อ ลมหายใจและการขับถ่าย ดังนั้นเราต้องดื่มน้ำในปริมาณมากก็เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดในร่างกายเข้มข้นเกินไปจนไหลเวียนไม่สะดวก ทั้งนี้ในปริมาณ 2.7 ลิตรของน้ำที่ดื่มต่อวัน อาจเป็นน้ำผลไม้ น้ำผักสมุนไพร น้ำนม หรือน้ำซุปก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำเปล่าอย่างเดียว แต่ก็ไม่ควรเป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์อยู่ด้วย เพราะเครื่องดื่มดังกล่าวจะยิ่งทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากขึ้น

3. ควรนอนตัวตรง
ในเวลานอนพักผ่อน หรือว่าในเวลานอนหลับ ควรนอนในท่าที่ถูกต้อง ไม่นอนขดตัวหรือว่านอนงอคุดคู้ ควรนอนปล่อยขาให้เหยียดตรง

4 หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อรัดติ้ว
สำหรับสาว ๆ ที่ชอบใส่เสื้อตัวเล็ก ๆ เพื่อรัดทรวดทรงให้เห็นสัดส่วนได้ชัดเจน จนเนื้อปลิ้นออกมา ก็ควรเปลี่ยนการแต่งตัวซะใหม่ เพราะการสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดติ้วเกินไปนั้น จะทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก รวมไปถึงการรัดเข็มขัดแน่จนเกินไปด้วย

7 วิธีเผยผิวหน้าสวยสู้หน้าหนาว



















1. ห้ามใช้น้ำอุ่นล้างหน้า ควรล้างหน้าด้วยน้ำเย็น ถ้าใช้น้ำอุ่น หน้าก็จะยิ่งแห้งและคันมากขึ้น

2. ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อนๆ เป็นสบู่ที่ไม่มีความเป็นกรดหรือด่างมากเกินไป สำหรับสาวที่มีผิวแห้งมาก ๆ ควรเลือกใช้แบบที่มีมอยเจอร์ไรเซอร์เป็นส่วนผสมของสบู่ด้วย เพื่อจะได้ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว

3.. อย่าเกาหรือถูใบหน้าแรง ๆ
เพราะการที่เราไปทำอะไรรุนแรงกับผิวหน้าในช่วงที่สภาพอากาศแห้งผิวเสียน้ำมาก จะทำให้เกิดแผลและสิวได้ง่าย

4.. ใช้ครีมกันแดดทาผิวเป็นประจำทุกวัน เพราะในช่วงหน้าหนาว แม้สภาพอากาศจะเย็น แต่แสงแดดจะแรงมาก

5.. ลงเซรั่ม (Serum) ก่อนใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเดย์ครีม หรือไนท์ครีม และควรลงเซรั่มก่อน เพื่อช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิว และเสริมการผลิตคอลลาเจน ที่เป็นตัวการสำคัญของการเกิดริ้วรอยบนใบหน้า

6. งดการอบซาวน่าในช่วงหน้าหนาว
เพราะการอบซาวน่าคือการดึงน้ำและความชุ่มชื้นออกจากร่างกาย และใบหน้าอย่างรวดเร็ว จะยิ่งทำให้ผิวเราแห้งมากขึ้นไปอีก

7. ควรหาแว่นกันและหมวกปีกกว้างใส่ เมื่อต้องออกนอกบ้านในตอนที่แสงแดดจ้า เพื่อช่วยปกป้องรังสียูวี

การบริหารทรวงอกเพื่อเพิ่มความกระชับ




















สำหรับสาวๆ ที่หน้าอกหย่อนคล้อยไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม ทำให้หน้าอกเสียรูปทรง ใส่เสื้อผ้าไม่สวย ถ้าอยากมีหน้าอกกระชับแต่งตึงโดยไม่ต้องผ่านมีดหมอ เรามีเคล็บลับการบริหารทรวงอกเพื่อเพิ่มความกระชับมาฝาก สามารถใช้ได้กับสาวที่มีหน้าอกสวยอยู่แล้วแต่อยากให้คงรูปสวยตลอดเวลา ง่ายด้วย 5 ท่า ดังต่อไปนี้

ท่าที่ 1
เริ่มจากยืนตัวตรง ยื่นเท้าขวาออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วงอเข่าเล็กน้อย ส่วนเท้าซ้ายเหยียบบนผ้าฟิตเนสโดยใช้ส่วนของปลายเท้าเหยียบเอาไว้ แล้วใช้สองมือข้างยึดปลายผ้าทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง แล้วกางแขนออกไปและก้มตัวลง โดยไม่ต้องเคลื่อนไหวต้นแขน จากนั้นก้มลงและยืดตัวขึ้น ทำซ้ำ 15 ครั้ง

ท่าที่ 2
นั่งขัดสมาธิให้ลำตัวตั้งตรง งอแขนโดยใช้ฝ่ามือประกบกันในลักษณะเหมือนการไหว้ และตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างหน้าอก จากนั้นก็เริ่มเกร็งแขนและหน้าอก ดันฝ่ามือเข้าหากันประมาณ 2-3 วินาที แล้วคลายออก ทำซ้ำ 16 ครั้ง

ท่าที่ 3
นั่งท่าขัดสมาธิ ใช้มือจับผ้าฟิตเนสสองข้างโดยให้ผ้าพาดอยู่ด้านหลังอ้อมใต้รักแร้ งอแขนแล้วเกร็งแขน จากนั้นค่อยๆ ดึงผ้าเข้าหากันมาที่หน้าอก ทำซ้ำ 15 ครั้ง

ท่าที่ 4
คุกเข่าลงแล้วก้มตัวไปกับพื้น พาดผ้าฟิตเนสเอาไว้ด้านหลัง ใช้มือทั้งสองข้างจับผ้าแต่ละด้านไว้ และใช้สองแขนพยุงไหล่ไว้ กางแขนแล้วก้มตัวลง ทำ 10-15 ครั้ง

ท่าที่ 5
ยืนกางขาและงอขาเล็กน้อย ใช้สองเท้าเหยียบกลางผ้าฟิตเนสไว้ ใช้สองแขนจับปลายผ้า ปล่อยแขนไว้ที่สะโพก โดยให้ข้อศอกชี้ไปด้านหลัง แขนขวาดึงปลายผ้าไปข้างหลัง แขนซ้ายงอทำเป็นเส้นทแยงมุม ดึงขึ้นไปด้านบน สลับข้างและทำข้างละ 15 ครั้ง

วิธีสร้างเสน่ห์เย้ายวนให้กับทรวงอก





















คนเราไม่ได้ดูดีมีเสนห์ที่เฉพาะหน้าตาอย่างเดียว ถึงแม้หน้าตาธรรมดาไม่เข้าขั้นว่าสวยมีเสน่ห์บาดตาบาดใจเหมือนคนอื่นๆ เขา แต่ก็สามารถเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับทรวงอกให้ดูสวยเย้ายวนได้นะ มาลองดูวิธีเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับทรวงอกแบบง่ายๆ ด้วยตัวเองกันดีกว่าค่ะ

1. ใช้ฝักบัวเป็นตัวช่วย เวลาอาบน้ำควรอาบให้ใช้น้ำเย็นทำความสะอาดบริเวณอก และใช้ฝักบัวน้ำเย็นฉีดวนรอบๆ ทรวงอกเป็นประจำ จะช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของเลือดและทำให้เนื้อเยื่อที่เป็นไขมันในทรวงอกกระชับตัวขึ้น

2. ใช้น้ำมัน หรือโลชั่นบำรุงผิว นวดเบาๆ บริเวณหน้าอก โดยนวดแบบวนขึ้น จะสามารถช่วยให้อกกระชับ และดูสวยขึ้นได้

3. หมั่นออกกำลังกายแบบการบริหารกล้ามเนื้อบริเวณทรวงอก
ซึ่งจะช่วยป้องกันการหย่อนยานของทรวงอกได้

4. ควรเลือกซื้อยกทรงให้ได้ขนาดพอดีกับทรวงอกของเราเอง ไม่ควรสวมให้แน่นเกินไป และไม่ควรเลือกซื้อยกทรงในขณะที่กำลังมีประจำเดือน เนื่องจากในช่วงนี้ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ทรวงอกจะขยายตัวใหญ่ขึ้น (สำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์และให้นมลูก ต้องเลือกใส่เสื้อยกทรงที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ)

วิธีแก้ริมฝีปากแห้ง (How to Cure Chapped Lips)















ช่วงนี้ก็เป็นช่วงฤดูหนาวถ้าไม่ดูแลตัวเองดีๆ ต้องกลายเป็นสาวผิวแตกแน่นอนเลย นอกจากผิวกายผิวหน้าจะแตกแล้ว ยังเพิ่มปัญหาริมฝีปากแห้งแตกอีกด้วย สำหรับหลายๆ คน ปัญหาริมฝีปากแห้งส่วนใหญ่มักจะมีสาเหตุมาจากการเป็นคนไม่ชอบดื่มน้ำหรือว่าดื่มน้ำน้อย ส่วนที่มาจากสาเหตุอื่นมักเป็นเรื่องรองๆ ซึ่งอาจจะต้องมีการพบแพทย์เพื่อทำการรักษา และคุณควรมีข้อมูลการใช้ยา และโรคประจำตัวที่เป็น เพราะจะช่วยให้การวิเคราะห์หาสาเหตุแก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น

แต่ในที่นี้เรามีวิธีแก้ปัญหาริมฝีปากแห้งตามธรรมชาติมาฝาก ริมฝีปากแห้งอย่าปล่อยทิ้งไว้นานๆ เด็ดขาด เพราะอาการจะรุนแรงขึ้นถึงขั้นแตกลอกเป็นขุย บางรายเป็นหนักถึงกับมีเลือดออกซิบๆ เลยทีเดียว ถ้าเป็นถึงขนาดนี้ก็คงต้องงดของอร่อยแซ่บๆ อย่างส้มตำไก่ย่างแน่นอน ถ้าใครไม่อยากเป็นเยี่ยงนี้ ก็ต้องดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ หรือจิบน้ำอุ่นบ่อยๆ

ส่วนอาการริมฝีปากแห้งลอกเป็นขุย ควรใช้น้ำอุ่นผสมเกลือป่นเล็กน้อยใช้สำลีชุบให้เปียกแล้วบีบน้ำออกพอหมาด แล้วเช็ดไล้เบาๆ ไปบนริมฝีปาก จะทำให้ขุยต่างๆ หลุดลอกออกไปได้โดยง่าย จากนั้นก็ทาลิปมันหรือปิโตรเลียมเจลลงไป

สำหรับใครที่ริมฝีปากแห้งแตกเป็นแผลมีอาการแสบก็ใช้วิธีนี้ไม่ได้ คงต้องใช้ปิโตรเลียมเจลทาทิ้งไว้ให้หนากว่าปกติทิ้งไว้ซักครึ่งชั่วโมงก่อน จากนั้นใช้สำลีชุบน้ำอุ่น แล้วบิดให้พอหมาด แล้วเช็ดไล้เบาๆ เอาปิโตรเลียมเจลออกก่อน จากนั้นก็ทาลิปมันธรรมดาหรือมอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับทาริมฝีปากได้เลย แต่ควรจะทำอย่างนี้ทุกวันจนกว่าอาการแห้งแตกจะหาย เมื่อหายดีแล้วที่สำคัญที่สุดก็คือต้องไม่ลืมดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ และบ่อยๆ และห้ามเลียริมฝีปากเด็ดขาด คุณถึงจะมีริมฝีปากเนียนนุ่มชวนมอง